คำคม นิทานธรรม

                                                                                ความยุติธรรม
ครั้งหนึ่ง ซูฟีท่านหนึ่งต้องการสร้างความมั่นใจว่า
ผู้ติดตามของท่านจะได้พบครูคนใหม่
ที่สามารถชี้แนะแนวทางอันถูกต้องได้
หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่ได้ทำพินัยกรรมเรื่องมรดกตามหลักศาสนาแล้ว
ท่านได้ทิ้งอูฐไว้ให้ผู้ติดตามของท่าน 17 ตัว โดยสั่งไว้ว่า
“พวกเธอทั้งสามจงแบ่งอูฐออกเป็นส่วนๆ โดยมีสัดส่วนดังนี้
ผู้อาวุโสที่สุดได้จำนวนครึ่งหนึ่ง
ผู้ที่มีอาวุโสรองลงมาได้หนึ่งในสาม
และผู้ที่มีอาวุโสน้อยที่สุดได้หนึ่งในเก้า”
ในทันทีที่ท่านสิ้นลมและมีการอ่านพินัยกรรม
เริ่มแรกผู้ติดตามทั้งสามรู้สึกแปลกใจในความไม่ยุติธรรม
ในการแบ่งทรัพย์สินที่เป็นมรดกของท่าน
คนหนึ่งกล่าวว่า “เราน่าจะเป็นเจ้าของอูฐทั้งหมดร่วมกัน”
อีกสองคนพยายามคิดหาวิธีแล้วกล่าวว่า
“มีคนบอกว่าน่าจะแบ่งให้เท่าๆกัน”
อีกคนหนึ่งได้รับคำปรึกษาจากนักกฎหมาย
ให้ขายอูฐทั้งหมดเสีย แล้วนำเงินมาแบ่งเท่าๆกัน
และมีคนหลายคนบอกพวกเขาว่าพินัยกรรมนั้นถือเป็นโมฆะ
เพราะสัดส่วนที่ระบุไว้ไม่สามารถจัดแบ่งได้
ทว่าผู้ติดตามทั้งสามมีความเห็นตรงกันว่า
น่าจะมีเหตุผลอันลึกซึ้งบางประการซ่อนอยู่
ในการแบ่งมรดกของท่านผู้นำฯ
ดังนั้นพวกเขาจึงเที่ยวสอบถามทั่วไป
ว่าใครจะสามารถแก้ปริศนานี้ได้
ทุกคนที่พวกเขาเข้าไปถามไม่สามารถตอบได้
จนกระทั่งพวกเขาได้มาถึงยังหน้าประตูบ้านของท่านฮาชรัต อะลี
บุตรเขยท่านนบีมูฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแต่ท่าน) ท่านอะลีกล่าวว่า“นี่คือวิธีแก้ปัญหาให้กับพวกท่าน
ฉันจะเพิ่มอูฐเข้าไปอีกหนึ่งตัว จากอูฐ 18 ตัว
ท่านจะต้องแบ่งครึ่งออกเป็น 9 ตัวให้แก่ผู้อาวุโสที่สุด
และคนที่อาวุโสรองลงมาจะได้รับหนึ่งในสามคือ 6 ตัว
ส่วนคนสุดท้ายจะได้ในเก้าส่วนคือ 2 ตัว ซึ่งทั้งหมดรวมกันเป็น 17 ตัว
เหลืออีกหนึ่งตัวคืออูฐของฉัน ก็นำมาคืนแก่ฉัน"และนี่คือหนทางที่ทำให้ผู้ติดตามทั้งสาม
ได้พบกับครูคนใหม่ของพวกเขา

ที่มา : อิดริส ชาฮ์(เขียน) สุธาสินี พานิชชานนท์.(แปล) เมธีทะเลทราย. สำนักพ์พิมคบไฟ.กรุงเทพ: 2541. หน้า 124-125



 


คนตัดไม้ กับ ขวาน

บ่ายวันหนึ่งระหว่างคนตัดไม้กำลังตัดไม้อยู่ริมแม่น้ำ
ขวานของเขาหล่นไปในแม่น้ำ
คนตัดไม้ก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ริมแม่น้ำ
ทันใดนั้นเทวดาก็ปรากฏตัวถามขึ้นว่า
“มีปัญหาอะไรรึ”
“ขวานผมตกลงไปในน้ำแล้ว และตรงนี้น้ำลึกมาก ต่อไปผมคงไม่มีอะไรกินแน่”


 เทวดาได้ยินดังนั้นก็ดำน้ำลงไปสักพักแล้วขึ้นมาพร้อมกับขวานทอง
“เอ้า ขวานนี้ล่ะใช่ของเจ้ารึไม่?”“ไม่ใช่ครับ ขวานของผมทำจากเหล็กมีด้ามไม้เก่าๆ”
เทวดาจึงดำน้ำลงไปอีกครั้งแล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับขวานเหล็ก
“เอ้า ขวานของเจ้า แต่เราเห็นเจ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์ไม่โกหก
ข้าจะมอบขวานเงินและทองให้เจ้าไปด้วย เพื่อตอบแทนในการที่เจ้าเป็นคนดี”
คนตัดไม้จึงรับขวานไว้แล้วกลับบ้านด้วยความสุข หนึ่งเดือนต่อมา...
ระหว่างที่คนตัดไม้เดินเล่นอยู่ริมน้ำพร้อมภรรยา
ภรรยาก็ลื่นตกน้ำไป คนตัดไม้ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งร้องไห้
เทวดาปรากฏกายมาอีกครั้ง“เอ้า คราวนี้เจามีปัญหาอะไรอีกล่ะ?”“
ภรรยาผมลื่นตกตกน้ำไปเมื่อกี้ครับ”ได้ยินดังนั้นเทวดาจึงดำน้ำลงไป
และขึ้นมาพร้อมกับหญิงคนหนึ่งที่เหมือนกับเจนโล”
“ผู้หญิงคนนี้ใช่ภรรยาเจ้ารึไม่?”
“ใช่แล้วครับ” คนตัดไม้ตอบทันทีเทวดาจึงโกรธมาก เพราะเห็นว่าคนตัดไม้โกหก
และไม่ซื่อสัตย์”“ขออภัยด้วครับทานเทวดา มันเป็นการเข้าใจผิดครับ”คนตัดไม้รีบชี้แจงทันใด“ถ้าเกิดผมตอบว่าไม่ใช่ ผมเดาวาท่านคงลงไปในน้ำอีก
และนำผู้หญิงมาเหมือนกัน แคธรีน ซีต้าโจนส์ ขึ้นมาอีกคน
และเมื่อผมปฏิเสธอีกท่านก็คงเอาภรรยาผมมาจนได้
และสุดท้ายท่านก็จะให้ผู้หญิงอีก 2 คนนอกจากภรรยาผมด้วย
คนตัดไม้อย่างผมจะมีปัญญาอะไรไปหาเงินเลี้ยงเมียกันถึง 3 คน”

            นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อใดที่ผู้ชายโกหกแสดงว่าชายผู้นั้นจะต้องมีเหตุผลจำเป็น
ดังตัวอย่างเช่นคนตัดไม้รายนี้.... 

ที่มา :  หนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับวันที่ 25 มิ.ย. – 1 ก.ค. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1558





นิทานทศชาติ พระภูริทัต 

  เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว พระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์แห่งกรุงพาราณสีเกรงว่าพระอุปราชผู้เป็นโอรสของพระองค์เองจะลอบปลงพระชนม์เพื่อชิงราชบัลลังก์
    พระองค์จึงมีรับสั่งให้พระราชโอรสเสด็จออกไปท่องเที่ยวผจญภัยในโลกกว้าง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนจะกลับมาครองราชย์ต่อไปในภายภาคหน้า
     พระราชโอรสนั้นก็มิได้หวังในราชสมบัติอยู่แล้ว จึงออกจากพระนครเดินทางแรมรอนไปพักอยู่ ณ ศาลาริมฝั่งแม่น้ำยมนา นางนาคตนหนึ่งได้ขนจากเมืองบาดาลมาท่องเที่ยวบนโลกมนุษย์ในรูปโฉมของหญิงงามผู้หนึ่ง ครั้นได้พบเจ้าชายผู้ตกยากก็ต้องตาต้องใจ จึงได้เข้าไปทำความรู้จัก เจ้าชายก็บังเกิดความเสนหาในตัวนางนาคมิใช่น้อย ทั้งสองจึงได้ครองคู่อยู่กินเป็นสามีภรรยาจนกระทั่งมีพระราชโอรสและพระราชธิดานามว่าสาครพรหมทัต และสมุทรชา
    
      ต่อมาเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จสวรรคต บรรดาเสนาอำมาตย์จะเสี่ยงราชรถหาผู้มีบุญมาเป็นกษัตริย์ แต่มีผู้พบเห็นว่าพระราชโอรสยังมีพระชนม์ชีพอยู่ จึงพากันไปอัญเชิญพระราชโอรสเสด็จกลับไปครองราชย์ ฝ่ายนางนาคนั้นได้แต่ฝากราชโอรส-ธิดาไปกับพระสวามี เพราะตนเป็นนาค มิสามารถจะไปใช้ชีวิตในกรุงได้เยี่ยงคนธรรมดา เมื่อจำต้องล่ำลากันด้วยความอาลัยแล้ว พระสาครพรหมทัตและพระสมุทรชาก็ได้ไปเติบโตเจริญพระชันษาอยู่ในวังกับเสด็จพ่อผู้เป็นพระราชาองค์ใหม่แห่งพาราณสี
พระโอรสและพระธิดานั้นโปรดที่จะเล่นอยู่แต่ในสระน้ำตามวิสัยของลูกนาค ในวังจึงต้องขุดสระใหญ่ไว้ วันหนึ่งสองพระองค์ตกพระทัยเมื่อเห็นเต่า พี่เลี้ยงจึงคิดจะฆ่าเต่าเสียให้ตาย แต่เต่าน้อยขอร้องให้จับตนถ่วงน้ำ เมื่อถูกจับถ่วงน้ำแล้ว เต่าจึงรีบหนีเอาตัวรอดได้อย่างสบาย ขณะที่คลานไปใต้สระน้ำลึกก็พบเจอพวกนางที่จะกลั่นแกล้งทำร้าย เต่าจึงทำอุบายขอให้พวกนางพาไปเฝ้าท้าวทศรถเจ้าแห่งเมืองบาดาลโดยอ้างว่าตนมีเรื่องสำคัญจะกราบทูล เมื่อได้เข้าเฝ้าท้าวทศรถแล้ว เต่าน้อยเจ้าเล่ห์ก็เพ็ดทูลว่าตนเป็นราชทูตจากพระเจ้ากรุงพาราณสีที่มาแจ้งว่าพระราชาจะยกพระราชธิดาให้เจ้าเมืองบาดาล
ท้าวทศรถจึงส่งนาค 4 ตัวเป็นราชทูตไปเข้าเฝ้าพระราชาเมื่อไปถึงพระราชวังแล้ว เต่าก็ให้ 4 นาครออยู่ก่อน แล้วตนเองก็หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำ
     
     พวกนาค รออยู่นานจึงพากันเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วทูลถามเรื่องการอภิเษกระหว่างพระธิดาสมุทรชาและท้าวทศรถ พระเจ้าพรหมทัตทรงประหลาดใจ และพระองค์ก็แจ้งว่ามิได้เคยส่งทูตไปยังเมืองบาดาลเป็นแน่ เพราะนาคกับมนุษย์จะวิวาห์กันได้อย่างไรกัน ท้าวทศรถเมื่อทรงทราบเรื่องจากนาคราชทูตก็กริ้วนัก ด้วยคิดว่าพระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์พาราณสีทั้งหลอกลวงและดูหมิ่นเหยียดหยามพวกนาค ในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง กรุงพาราณสีก็ถูกเหล่านาคนับพันนับหมื่นบุกเข้าก่อกวนทั่วเมืองจนชาวบ้านพากันกรีดร้องอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วงูน้อย งูใหญ่ทั้งปวงนั้นมิได้ทำร้ายเอาชีวิตผู้ใด มีแต่แกล้งขู่ให้หวาดกลัวกันไปเท่านั้น ภายในพระราชวังก็เช่นกัน บรรดานางสนมกำนัลต่างก็กรีด-ร้องก้องไปทั่ววังเมื่อพบเจอนาคยั้วเยี้ยเต็มไปทุกหนทุกแห่ง บรรดาข้าราชบริพารที่เป็นชายก็พลอยวิ่งหนีกันอลหม่านด้วยกลัวนาค ในที่สุดพระเจ้าพรหมทัตจึงต้องจำยอมยกพระธิดาสมุทรชาให้แก่ท้าวทศรถเจ้าเมืองบาดาลแต่โดยดี ทั้งนี้ได้ทรงขอร้องว่า อย่าได้แสดงตนเป็นนาคให้พระราชธิดาต้องตกพระทัยเป็นอันขาดท้าวทศรถได้จัดพิธีอภิเษกกับพระสมุทรชาอย่างยิ่งใหญ่ต่อมา

     พระสมุทรชาก็ได้มีพระราชโอรส ๔ พระองค์คือ

พระสุทัศนะ
พระทัต
พระสุโภคะ
และพระอริฏฐะ

     แต่แรกนั้นพระนางสมุทรชาและพระโอรสแม้จะประทับอยู่ในเมืองบาดาลก็มิรู้ว่าเป็นเมืองนาคด้วย เพราะพระราชบิดาและนาคบริวารทั้งปวงล้วนจำแลงรูปเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น แต่ครั้งหนึ่งพระอริฏฐะโอรสองค์สุดท้องได้แกล้งสำแดงพระ-วรกายเบื้องล่างให้เป็นนาค ด้วยเพราะพระบิดาเคยสั่งสอนว่าพระ-มารดานั้นเป็นมนุษย์ พระนางสมุทรชาตกพระทัยเป็นยิ่งนัก ท้าวทศรถคิดจะประ-หารโอรสน้อยเสียตามที่ให้สัญญาไว้กับพ่อตา แต่ทว่าพระนางสมุทรชาทูลห้ามไว้ และจึงได้รับรู้ว่าประทับอยู่ในเมืองนาคนับแต่นั้น ท้าวทศรถมักจะนำพระทัต พระโอรสองค์ที่สองไปเฝ้าท้าววิรูปักษ์ด้วยทุกๆ ๑๕ วัน พระทัตนั้นมีสติปัญญาปราดเปรื่องนักสามารถแก้ปัญหาในที่ประชุมได้เสมอ จึงได้พระนามใหม่ว่า “พระภูริทัต”เนื่องจากได้เห็นว่าท้าววิรูปักษ์ และพระอินทร์นั้นมีทรัพย์สมบัติมากกว่าพระบิดาของตน พระภูริทัตจึงคิดจะบำเพ็ญศีลภาวนาเพื่อให้บังเกิดผลดีแก่ตนซึ่งเป็นเพียงนาค การที่จะบำเพ็ญพรตจำศีลอยู่ในเขตพระราชวังเมืองบาดาลก็มักถูกรบกวนจากบรรดานางสนมกำนัลที่คอยปรนนิบัติรับใช้ พระภูริทัตจึงหลบจากวังไปจำศีลภาวนาอยู่ทิ่ริมฝั่งแม่น้ำยมนาขณะนั้นมีพรานป่าพ่อกับลูกได้ยิงเนื้อและตามรอยเลือดมาถึงฝั่งแม่น้ำจึงได้พักแรมใกล้กับอาศรมของพระภูริทัต ในราตรีนั้นพรานพ่อลูกก็เห็นนางนาคพากันมาขับเพลงบรรเลงกล่อมพระภูริทัต พรานป่าทั้งสองเข้าไปชมดูใกล้ๆ พวกนางนาคจึงหนีลงน้ำไปด้วยความตกใจ พระภูริทัตเกรงว่าพรานป่าจะนำหมองูมาทำร้ายจึงชวนพ่อลูกนายพรานไปพำนักในวังบาดาลอย่างมีความสุข  เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน สองพรานพ่อลูกขอลากลับขึ้นไปยังโลกมนุษย์เพื่อบวช พระภูริทัตจึงมอบแก้วแหวนอันมีค่าให้มากมาย แต่เมื่อพรานพ่อลูกกลับออกมาจากเมืองบาดาล ทรัพย์สมบัตินั้นก็กลายเป็นกรวดเป็นดิน นายพรานทั้งสองจึงต้องเข้าป่าล่าเนื้อต่อไปดังเดิม
     
      คราวหนึ่งพญาครุฑได้บินโฉบลงจับนาคตัวหนึ่งที่กลางสมุทรแล้วพาบินไป นาคได้ตวัดหางเกี่ยวต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งจนหลุดจากพื้นดินติดไปด้วย
     เมื่อพญาครุฑกินนาคแล้วต้นไทรก็ตกลงสู่พื้นดินเสียงดังลั่นป่าใต้ต้นไทรนั้นมีพระฤาษีตนหนึ่งจำศีลอยู่ พญาครุฑกลัวว่าตนจะเป็นบาปจึงได้มอบมนตร์วิเศษชื่อ “อาลัมพาย” กับ ยาทิพย์ปราบนาคและแก้วดวงหนึ่งให้แก่ฤๅษี
     ต่อมาฤๅษีตนนั้นได้มอบยาทิพย์และมนตร์วิเศษแก่พราหมณ์ตกยากผู้หนึ่งซึ่งมาเฝ้าปรนนิบัติรับใช้อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งพราหมณ์ผู้นั้นก็ได้ออกเดินทางผ่านไปยังแม่น้ำยมนาพร้อมกับฝึกท่องมนตร์ไปด้วย
     นางนาคที่เล่นอยู่บนหาดพากันตกใจคิดว่าพญาครุฑมาจึงพากันทิ้งดวงแก้ววิเศษแล้วหนีลงน้ำไป
    พราหมณ์เก็บเอาแก้ววิเศษไป เมื่อพรานป่าสองพ่อลูกพบเห็นก็จดจำได้ว่าเป็นแก้วจากเมืองนาคจึงอยากได้ ทั้งสองทำการเนรคุณพระภูริทัต โดยเล่าเรื่องเมืองบาดาลให้พราหมณ์ฟังจนสิ้นด้วยหวังอยากได้แก้วเป็นสิ่งตอบแทน
     แต่เมื่อยื่นมือไปรับแก้ว ลูกแก้วก็ตกลงพื้นและอันตรธานหายวับไป
     เมื่อพระภูริทัตเห็นสองพรานที่ตนเคยชุบเลี้ยงพาพราหมณ์มาเช่นนั้นก็หดหู่พระทัยนัก ในที่สุดพระภูริทัตก็ถูกพราหมณ์จับตัวไปได้โดยง่ายด้วยมนตร์วิเศษและยาทิพย์ที่ทำให้นาคกลัวได้
     พราหมณ์ร้ายพาพระภูริทัตมาแสดงที่กลางตลาด ใช้เวทมนตร์บังคับให้พระภูริทัตแผ่หางหลายๆ ชั้นเพื่อเก็บเงินจากชาวบ้านที่มามุงดูอย่างสนใจ
    ขณะนั้นเจ้าพี่เจ้าน้องของพระภูริทัตออกแยกย้ายกันตามหาด้วยความเป็นห่วง พระสุทัศนะและญาติผู้น้องนามอัจจะมุขีได้ตามมาพบขณะที่พราหมณ์นำพระภูริทัตไปแสดงที่พระลานหน้าพระราชวังด้วยเพราะพระเจ้าสาครพรหมทัตจะเสด็จออกมาทอดพระเนตรด้วย
    เมื่อพระภูริทัตเห็นพระเชษฐาปลอมตัวเป็นพระฤๅษีมายืนดูอยู่ก็เลื้อยเข้าไปซบที่เท้าแล้วร่ำไห้ก่อนจะเลื้อยกลับเข้าตะกร้าไปไม่ยอมแสดง
    พราหมณ์จึงรีบเข้าไปปลอบฤๅษีเพราะเกรงว่าฤาษีจะกลัวนาคกัดพระสุทัศนะจึงหัวร่อว่า นาคไม่มีพิษจะกัดได้อย่างไร พราหมณ์อับอายผู้อื่นจึงท้าพนันด้วยเงินจำนวน ๕.๐๐๐ ว่านาคของตนมีพิษร้ายแรงนัก
     พระสุทัศนะจึงเข้าไปทูลขอเงินพระราชาไปรับพนัน พระราชาแห่งพาราณสีจึงเสด็จออกมาดูด้วย 
    จากนั้นพระสุทัศนะก็ท้าว่าเขียดของตนนั้นมีพิษมากกว่า โดยให้อัจจะมุขีแปลงเป็นเขียดแล้วคายพิษใส่มือเพียงเล็กน้อย แล้วก็ประ-กาศว่าพิษเขียดนี้ถ้าทิ้งลงดิน ต้นข้าวพืชพันธุ์ทั้งปวงจะวิบัติหายนะถ้าทิ้งลงน้ำ สัตว์น้ำจะตายสิ้น หากสาดขึ้นอากาศ ฝนจะแล้งถึง ๗ ปี
    พระสุทัศนะจึงให้ทหารของพระเจ้าสาครพรหมทัตขุดหลุม ๓หลุม ใส่สมุนไพรให้เต็มหลุมหนึ่ง ใส่มูลโคหลุมหนึ่ง และใส่ยาทิพย์หลุมหนึ่ง
     เมื่อพระสุทัศนะหยดพิษเขียดหรือที่แท้คือพิษของนาคใส่ลงไปในหลุม ก็บังเกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นลามไปยังหลุมที่ ๒ และ ๓อย่างน่ากลัว
     บรรดาราษฎรที่รุมล้อมดูอยู่พากันส่งเสียงฮือฮาอย่างแตกตื่นเมื่อไฟลามมาถึงหลุมที่ ๓ ก็ดับลง พราหมณ์เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปากหลุมด้วยยังมิอยากเชื่อ จึงถูกควันไฟไอพิษลวกใส่ตัวจนถลอกปอกเปิกเป็นแผลพุพองแสบร้อนไปทั่วกาย
     เมื่อพราหมณ์ยอมถอนมนตร์ปล่อยนาคแล้ว พระภูริทัตก็เลื้อยออกจากตะกร้าแล้วนิรมิตจำแลงแปลงองค์เป็นเจ้าชายรูปงามเข้าไปกราบถวายบังคมพระเจ้าสาครพรหมทัต พร้อมกับพระสุทัศนะผู้เป็นพระเชษฐา และกราบทูลแก่พระราชาว่าตนทั้งสองคือ โอรสของพระนางสมุทรชา ผู้เป็นขนิษฐาของพระองค์นั่นเอง
     พระเจ้าสาครพรหมทัตดีพระทัยนัก ทรงกำชับให้หลานทั้งสองพาพระมารดากลับมาเยี่ยมเยือนพระนครบ้าง
     เมื่อเสด็จกลับวังบาดาลแล้ว พระสุโภคะ อนุชาของพระภูริทัตที่ออกตามหาพระเชษฐาโดยแยกไปยังป่าหิมพานต์นั้นได้จับตัวสองพรานป่าพ่อลูกมาชำระโทษ แต่พระภูริทัตก็ทรงให้อภัย โดยขอให้พรานป่าทั้งสองออกบวชตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมต่อไป


ขอขอบคุณ ที่มาที่ไป http://thai.mindcyber.com/nitan/10/1124.php

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น