"ธรรมะก่อนนิทรา" by เคน ธีรภัทร

"ธรรมะก่อนนิทรา" BY เคน ธีรภัทร



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน เปรตเจ้าระเบียบ... 2-08-2112
คณะผ้าป่าคณะหนึ่ง ได้อาศัยศาลาหลังเล็กๆ โดยนอนเรียงกันเป็นแถวยาวตามผื่นเสื่อ ขณะที่ทุกคนหลับด้วยความอ่อนล้า กลางดึกมีเปรตตัวหนึ่งปรากฏขึ้น... มองดูคนเหล่านั้นนอนด้วยคิดว่า... พวกมนุษย์นี้นอนไม่เป็นระเบียบ มันไปยืนอยู่ตรงหัวโดยจัดหัวให้ตรงกัน แล้วมันก็มองเท้า เท้าไม่ตรงกัน มันก็ไปยืนตรงเท้าจัดให้ตรงกัน... มันจัดกลับไปกลับมาจนเหนื่อยหอบแฮ๊กๆๆ... ก่อนที่มันจะจากไปกับความเงียบ ...ก่อนฟ้าจะสางมันบ่นว่า "ไอ้พวกมนุษย์นี่มันจัดระเบียบยากจริงแท้" ...มันลืมไปว่าคนตัวไม่เท่ากันจัดยังไงก็ไม่เท่ากัน...หุหุ


ธรรมะก่อนนิทรา ตอน รองเท้าของหนู... 01-08-2112
...มีคำกล่าวว่า "ความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็ย่อมนำสุขมาให้..อย่ากล่าวไปใยกับมหาบุญ หมื่นความดีจะขนาดไหน..." ...วันหนึ่งได้เข้าไปที่ศูนย์ผู้ประสบภัยน้ำท่วม มจร. ขณะกำลังเดินอยู่บนสะพานเพื่อเข้าไปภายในศูนย์...มีแม่กับลูกวัยสามขวบคู่หนึ่งกำลังนั่งอยู่ขอบสะพานซึ่งมีขนาดไม้กระดานสี่แผ่น(ตามภาพ) นั่งมองดูสายน้ำอยู่... เราก็คิดในใจว่า "แม้สองแม่ลูกนี้สุนทรีย์จังเลย มานั่งเล่นบนสะพาน" พอเดิน
ผ่านไปสักครู่ เลยหันกลับมามองดูแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือ เด็กน้ำตานองหน้า คนผู้เป็นแม่น้ำตาซึม และหอบของพะลังพลังล้นไม้ล้นมือ.. เลยคิดว่าสองแม่ลูกเค้าเป็นอะไรกันหน้อ? จึงค่อยๆมองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นคือ "รองน้อยๆข้างหนึ่งลอยอยู่กลางน้ำ ซึ่งขณะนั้นน้ำลึกท่วมหัว.. ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อมองทิศทางลมว่าจะพัดพารองเท้าไปทางไหน...พอรู้แล้วจะเดินไปดักอีกฝากหนึ่งของกระแสน้ำ ...ได้นำรองเท้าของหนูน้อยมาให้แก่เจ้าของ เจ้าตัวยิ้มแฉ่ง หน้าบาน ก่อนจะกล่าวขอบคำขอบคุณแล้วเดินข้ามสะพานไป ...นึกถึงเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องยิ้มทุกที.... ***...หุหุ....





ธรรมะก่อนนิทรา ตอน รักนี้..ชั่วฟ้าดินสลาย...30-07-2112
กายกับใจครองรักกันมายาวนาน ใจสัญญากับกายว่า "ฉันจะรักเธอให้ยาวนาน หากเธอตาย ฉันจะตายตามเธอ ไม่ว่าชาติไหนเราจะไม่พลากจากกัน" และแล้ววันนั้นก็มาถึง กายก็สิ้นลมลงต่อหน้าของใจ... ใจกลับไม่ใยดี แต่กลับไปหากายอื่นแทนฯ... นี่คือวัฎฎะจักรของมนุษย์เราทั้งหลาย (นครกาย หุหุ)





ธรรมะก่อนนิทรา ตอน ใจเขาใจเรา 25-07-2112
..."หัวอกเขาหัวอกเรา" ใครจะคิด พูด ทำ อะไรออกไป คิดใคร่ครวญดีหรือเปล่าว่าเขาชอบไหม!!!
...มีสองสหายเป็นเพื่อนรักกันมายาวนาน ทั้งสองมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน นั้นก็คือ คนหนึ่งผมหงอกก่อนวัย อีกคนหนึ่งหัวล้านถึงท้ายทอย เจ้าเพื่อนที่หัวล้านนี่มีนิสัยขี้เล่น ชอบพูดหยอกล้อเล่นกับเพื่อนผู้ผมหงอกเป็นประจำ แต่ด้วยคำว่า เพื่อน หงอกไม่ติดใจสักคำ วันหนึ่งต้องออกไปรายงานหน้าชั้นเรียนซึ่งเป็นคิวของหงอก เสียงเพื่อนเชียร์ให้ออกไปหน้าชั้นเรียน "อ้าวหงอกออกไปรายงานหน้าชั้นได้แล้ว ไวไวนะหงอก เย้เย้ๆๆ หงอกออกไปแล้วว" ล้านตะโกนลั่นห้อง หงอกเดินออกไปหน้าชั้นเรียน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรับฟังรายงาน เขาได้พูดเกริ่นนำขึ้นสั้นๆว่า "ถึงผมของผมจะหงอก แต่ก็เหลือทุกเส้นนะครับ" แค่นั้นแหล่ะ คนหัวล้านที่เคยพูดเขาแต่ไม่ดูตัวเอง เดือดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที และตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองก็ไม่คุยกันอีกเลย ....
...หุหุ



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน กฎไตรลักษณ์ 23-07-2112
...ในที่สุดโลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ หมายความว่าทุกสิ่งในโลกตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ คือ เกิดดับๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นสันตติธรรม เห็นได้ด้วยตาปัญญาเท่านั้น 
...พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านเห็นธรรมขั้นละเอียดว่า โลกนี้จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเหลือ “มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสิ่งเหล่านั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา โลกทั้งโลกมีสภาวะธรรมอยู่เพียงแค่นี้” ท่านพิจารณาจบกิจเป็นพระอรหันต์ สาวกองค์แรกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันด้วยการวางอัตตาตรงจุดนี้เอง ท่านเห็นไตรลักษณ์ขั้นละเอียดสุด...
...หุหุ



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน รอคอย 21-07-2112
...คนสองคน นอกจากความรักที่มีความซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว สิ่งสำคัญไม่น้อยกว่ากันนั่นคือ "คำสัญญา" ใครสัญญาอะไรกับใครไว้ เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะยังจดจำ หรือจะทำลาย!!!
...ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีครอบครัวใหม่เกิดขึ้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน ทั้งสองสามีภรรยาพึ่งแต่งงานกันใหม่ แต่อยู่ร่วมกันไม่ถึงปี ก่อนที่ภรรยาจะเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งร้าย... และก่อนหน้านี้ ทั้งสองได้ให้คำมั่นสัญญากันไว้ว่าจะรักมั่นไม่เสื่อมคลาย แม้อีกฝ่ายจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวลกลับ และบัดนี้ต่อหน้าภรรยาอันเป็นที่รัก เขาได้บอกต่อหน้าเธอว่าจะขอตั้งชื่อใหม่ของตัวเอง เพื่อเป็นอนุสรณ์ไว้เผื่อสักวันหนึ่งเขาและเธอจะกลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง ฉันจะชื่อใหม่ว่า "รอคอย" ....
...หุหุ




ธรรมะก่อนนิทรา ตอน สุขเพราะได้กับสุขเพราะละ 18-07-2112
...สุขจากการได้ และสุขจากการละ แตกต่างกันด้วยประการอย่างนี้เอง ผู้หลงสุขที่ได้ในกาม ย่อมไม่เห็นอาการเผาลนของความอยาก ต้องแสวงหาฟืนมาเติมไฟอยากอยู่เรื่อย แสวงหาเท่าไหร่ๆ ไฟก็ยิ่งแรงขึ้น ไม่ดับได้สักที แต่ก็หลงนึกว่ายังเติมฟืนไม่พอ จึงหาเติมไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย ก็ไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดสืบไป ส่วนสุขที่ยิ่งละ การละได้มา
กเท่าไหร่ ก็เหลือต้นเหตุทุกข์น้อยลงเท่านั้น ละได้หมด ก็หมดทุกข์นั่นเอง...
...พระเซ็นท่านเดินรับบิณฑิบาตหน้าบ้านเศรษฐีเพื่อต้องการอาหาร แต่พอเข้าไปเห็นท่านเศรษฐีกำลังตั้งโต๊ะจะใส่บาตรและกำลังสั่งลูกน้องไปกู้เงินหลายล้านบาทเพื่อมาทำต่อเติมบ้านให้ใหญ่กว่าเดิม ท่านจึงเดินหันหลังกลับ เศรษฐีหันมาเจอพอดีและใส่บาตร พระท่านกลับบอกปฏิเสธไปว่า “ท่านยังขาดอีกมาก ส่วนอาตมามีพอฉันแล้ว”...
...หุหุ





ธรรมะก่อนนิทรา ตอน ไม้เน่า 17-07-2112
...อะไรเน่าก็เน่าไป แต่อย่าให้ใจเรา "เน่า"...
...พระท่านถามว่า "ถ้ามีหมาเน่า ลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านเรา จะทำยังไง"
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า... "ให้เอาไม้เขี่ยมันออกไป"
พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า..."เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่า ลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง"
ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า..."ก็ต้องโยนทิ้งไป"
คราวนี้พระอาจารย์ก็บอกว่า... "นั่นแหละ มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าเหม็น แต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อย ไม้เขี่ยหมาเน่าๆ เหม็นๆ น่ะ"
เห็นด้วยกับฉันมั้ย คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็น แต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย ..."ไม่โง่ก็โรคจิตนะ"
เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆ ที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร...ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์ แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ ทุกคนก็คงเคยเป็น คราวหลังถ้าเป็นอีก ลองบอกตัวเองสิว่า ...
"แน่ะ หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา" ดูซิว่า ยังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆไว้ดมอีกมั้ย...
...หุหุ




ธรรมะก่อนนิทรา ตอน หลวงตากับเณรน้อย
...ใครที่เข้ากรุงเทพมาใหม่ๆ คงเคยเป็นคล้ายกรณีเช่นนี้...
...ณ ป้ายรถเมล์ท้องสนามหลวง สามเณรน้อยถามหลวงตาว่า "หลวงตาครับ เราคอยรถเมล์สาย ๗๐ นานแล้วนะครับ" หลวงบ่นงึมงำ "นั่นสิ สงสัยรถติดมั้ง" สามเณรพูดขึ
้นอีก "หลวงตาครับ ผมว่าสาย ๘๐ นี่มาบ่อยนะครับ ผมว่ามันน่าจะใกล้กับที่เราจะไปนะครับผมว่า" หลวงตาบ่นงึมงำ "นั่นสิ งั้นเราขึ้นสาย ๘๐ ดีกว่านะ" แล้วทั้งสองรูปก็ขึ้นไปสาย ๘๐ ไม่นานนักสักสิบนาทีก็เห็นหลวงตากับสามเณรน้อยเดินไหวๆ กลับมายืนที่เดิม สามเณรน้อยพูดขึ้น "หลวงตาครับ สาย ๘๐ มันคงเลยไปหน่อย งั้นเราขึ้นสายที่ลดลงมาหน่อยนะครับ" หลวงตาบ่นงึมงำ "นั่นสิ งั้นเราไปสาย ๖๐ นะ น่าจะใกล้กว่ากัน" และแล้ว ทั้งสองก็เดินกลับมาที่เดิมอีก....
...หุหุ



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน หลวงตากับเณรน้อย (๒)
...อุปมาจิตของเราเหมือนลิง ที่ชอบกระโดดไปมา ไม่อยู่กับร่องกับรอย ต้องใช้สติคอยควบคุม...
...วันหนึ่งขณะเดินกลับจากการรับบิณฑบาตญาติโยมหลวงตาเดินนำหน้าสามเณรน้อยเดินตามหลัง และขณะที่เดินอยู่นั้นเณรน้อย
เห็นความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ เห็นความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง นึกอยากเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ ให้หลุดพ้นจากวัฎสงสาร” หลวงตารู้วาระจิตของสามเณรน้อยถึงความต้องการและท่านคิดว่า “เจ้าเณรน้อยนี้ช่างคิดประเสริฐโดยแท้” จึงบอกกับเณรน้อยว่า “เณรๆ มาเดินข้างหน้าหลวงตานี่มา” เณรน้อยก็เดินนำหน้าหลวงตา พอเดินไปสักครู่ เณรน้อยก็คิดบางสิ่งขึ้นได้ว่า “การจะเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้นจะต้องบำเพ็ญบารมีสามสิบทัศ ต้องรักษาศีลให้สมบูรณ์ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก จึงไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเณรน้อยดีกว่า เดินตามหลังหลวงตาสบายใจดี” แค่นั้เอง หลวงตารู้ว่าเณรน้อยคิดอย่างนั้น จึงเอาฝาบาตรโขกหัวดัง “ปั๊ก” และสั่งให้มาเดินตามหลัง เณรน้อยคิดบ่นในใจ “หลวงตาเป็นบร้าอะไรนี่ ให้เราเดินหน้าเดินหลัง”...
...หุหุ


ธรรมะก่อนนิทรา ตอน หลวงตากับเณรน้อย (๓)
... "ตาสามารถจับภาพวัตถุภายนอกได้ ส่วนจิตใจจับภาพอยู่ภายในที่มองด้วยตาไม่เห็น”
...เย็นวันหนึ่งขณะที่หลวงตาให้โอวาทและสอนธรรมะสามเณรน้อย ทันใดนั้น ไฟฟ้าดับทำให้หลวงตากับสามเณรน้อยมองอะไรไม่เห็นเลย จะส
อนต่อก็ไม่ได้ หลวงตาจึงบอกกับสามเณรน้อยว่า “เอ้ยเณร จุดเทียนสิ จะได้ร่ำเรียนหนังสือต่อ” สามเณรน้อยพูดขึ้น “หลวงตาครับ เทียนมันอยู่ตรงไหนอ่ะครับ” หลวงตา “มันอยู่ซ้ายมือของเณรไง” พร้อมชี้มือในความมืด เณรน้อยพูดขึ้นด้วยความงงๆ “หลวงตา มันมืดอ่ะครับ ผมไม่รู้เลยว่าข้างไหนมือซ้าย ข้างไหนมือขวา”...อิอิ
...หุหุ



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน หลวงตากับเณรน้อย (4)
...ทัศนศึกษาสามารถเปิดกว้างทางสติปัญญา พัฒนาความคิดให้ก้าวไกล...
...วันหนึ่งพาเณรน้อยไปเที่ยวสวนสัตว์ดุสิต ขณะอยู่หน้าโครงกระดูกไดโนเสาร์เณรน้อยพูดขึ้นว่า "หลวงตาครับ ไดโนเสาร์ตัวนี้มีอายุถึง 50 ล้านปี กับอีก 9 เดือนแล้วครับ" หลวงตาทำท่างงแล้วถามขึ้น "ว้าว เณรรู้ได้ไงเนี้ย" เณรน้อยตอบให้กระจ่าง "เพราะไกด์เคยบอกผมที่มาเมื่อ 9 เดือนที่แล้วว่ามันมีอายุ 50 ล้านปีอ่ะครับ"...
...หุหุ 



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน ไข่ทองคำ
...ยามบุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก ยามบุญไม่มา วาสนาไม่ช่วยที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย ควรสั่งสมบุญ เพราะบุญนำสุขมาให้...
...มีบ้านสองหลังคนรวยกับคนจนอยู่ติดกัน แต่ละหลังมีศาลพระภูมิไว้หน้าบ้าน วันห
นึ่งเจ้าที่คุยกัน เจ้าที่บ้านรวย “ทำไมท่านไม่ยอมช่วยเจ้าของบ้านให้ร่ำรวยช่ะทีละท่าน เขาก็ทำบุญทำทานใจบุญใจกุศลไหว้พระไหว้เจ้าประจำ” เจ้าที่บ้านจนตอบสั้นๆ “มันยังไม่ถึงเวลา” เมื่อโดนทักบ่อยๆเข้าเจ้าที่บ้านจนก็เลยนำไข่ทองคำไปไว้หน้าบ้าน เพราะคิดว่าตื่นขึ้นมาคงพบเจอพอดี เช้าวันนั้นมีอีกาตัวหนึ่งมาเห็นเข้าจึงคาบไปไว้บนรังของมัน คนจนตื่นขึ้นมาก็ไม่เจออะไร เจ้าที่บ่นออกมาว่า “เห็นไหม มันยังไม่ถึงเวลา” อ้าว ลองใหม่อีกที เอาไข่ทองคำไปวางไว้ท่าน้ำ เพราะคนจนเขาจะตักน้ำตอนเช้าเป็นประจำ และเช้าวันนั้นเกิดน้ำขึ้นสูงกว่าปกติ น้ำท่วมเต็มคลองทำให้ปลาช่อนตัวโตมาคาบไปอีก เป็นอันว่าชายคนจนไม่เจอทองคำ เจ้าที่บอกว่า “เห็นไหม มันยังไม่ถึงเวลา” หลายวันต่อมาคนจนใจบุญไปตลาดต้องการซื้อปลาที่ตายแล้วทำเนื้อแดดเดียวเป็นอาหารใส่บาตรพระ แม่ค้าบอกว่ามีอยู่ตัวที่ตายเมื่อตะกี้ เขาได้นำปลาตัวนั้นกลับไปบ้าน พอผ่าท้องออกมาแค่นั้นแหล่ะ เขาเจอไข่ทองคำ เขาดีใจมาก และเขาได้นำปลาที่ผ่าเสร็จไปตากแดด สักครู่อีกาได้มาคาบปลาบินขึ้นไปบนต้นไม้ เขาวิ่งตามปืนขึ้นไปเจอรังของอีกา เจอไข่ทองคำอีก ช่างวาสนาดีโดยแท้ เจ้าที่คนจนได้พูดขึ้นสั้นๆ ว่า “เห็นไหม เมื่อถึงเวลาของมัน อะไรๆก็ดีไปหมด อย่าไปเร่งบุญเร่งวาสนา” ...
...หุหุ



ธรรมะก่อนนิทรา ตอน ความพึงพอใจ
...บทเรียนล้ำค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า "ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่"
...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายชาวนาคนหนึ่ง กำลังนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม มีพ่อค้าเร่คนหนึ่งเข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ท
ำมาหากินเป็นอย่างไรบ้าง" "ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" ชาวนาตอบอย่างเศร้าสร้อย "เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม "จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทำงานหนักทั้งวัน ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" ชายหนุ่มกล่าว ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้ และพูดขึ้นว่า "พรุ่งนี้เช้าข้าจะกลับมา เจ้าจะเก็บรักษาหมอนให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี เจ้าใช้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้" ชายหนุ่มรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ในคืนนั้น เขาใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน เมื่อตื่นขึ้นพบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด "รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" เขาตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ "ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างที่ข้าต้องการ" อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ เป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปรารถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน ดังนั้น เขาปิดคฤหาสน์อยู่ตามลำพัง อยู่มาไม่นานเขาก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป" เขาจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง แต่แล้วต่อมาไม่นาน เขาก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึงไล่นักดนตรี นักรำออกจากบ้านไป อยู่มาวันหนึ่ง เขามองเห็นเพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง เขาหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง แล้วเขาก็เผลอหลับไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องเก่าซอมซ่อ ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม หัวเราะร่าด้วยความยินดี ร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับเพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน... 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น